ปลากะพง ยักษ์ เลี้ยงส่งตลาด 7,000ตัน/ปี แบบเจาะเลือดออกจากตัวปลา

ปลากะพง ยักษ์ เลี้ยงส่งตลาด 7,000ตัน/ปี แบบเจาะเลือดออกจากตัวปลา

ชนิดของปลากะพง

ปลากะพงมีหลายชนิด อาทิ ปลากะพงขาว ปลากะพงดำ ปลากะพงแดง และปลากะพงลาย แต่ปลากะพงที่นิยมรับประทาน และเลี้ยงๆ กันมาก จะเป็นปลากะพงขาวเป็นหลัก ซึ่งปลากะพงที่พบมากในแหล่งน้ำกร่อย เป็นปลาที่มีราคาแพง นิยมนำประกอบอาหารหลายเมนู อาทิ ปลากะพงลวกจิ้ม ปลากะพงทอด ต้มยำปลากะพง ปลากะพงราดพริก เป็นต้น

ปลากะพงขาวที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เป็นปลาที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเป็นหลัก โดยนิยมเลี้ยงในกระชังตามแหล่งน้ำกร่อย ซึ่งใช้ระยะเวลาเลี้ยงเพียง 5-6 เดือน เป็นระยะเวลาสั้น ซึ่งปลากะพงยักษ์จะใช้ระยะเวลาเลี้ยงนานกว่าถึง 18 เดือน หรือ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งน้ำหนักที่ได้ก็มากถึง 9-10 กิโลกรัม ซึ่งพบในบริเวณปากแม่น้ำ และชายทะเล

ซึ่งมีแหล่งเพาะเลี้ยงหลักอยู่บริเวณปากแม่น้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และพื้นที่ปากแม่น้ำ และชายทะเลทางภาคใต้ แต่ทั้งนี้บางพื้นที่มีการเลี้ยงในบ่อดินบริเวณพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับทะเล เนื่องจากการเลี้ยง ปลากะพง ในกระชังบริเวณปากแม่น้ำมักประสบปัญหาขาดทุนจากสภาพน้ำในแม่น้ำเน่าเสีย หรือมีคุณภาพน้ำไม่เหมาะสม

ทำให้มีการเลี้ยงปลากะพงขาวในบ่อเพิ่มมากขึ้น แต่ประสบปัญหาเรื่องของตลาดที่ไม่ตอบโจทย์

ทีมงานนิตยสารสัตว์น้ำ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณประโยชน์  โสรัจจกิจ (ประธานกลุ่มผู้เลี้ยงปลากะพงยักษ์) ก็ทราบว่า จ.ฉะเชิงเทรา เป็นแหล่งเลี้ยง ปลากะพง ที่เยอะมากที่สุดในไทย ซึ่งมีแหล่งผลิตลูกพันธุ์ปลากะพงอยู่ที่ ต.สองคลอง อ.บางปะกง

จริงๆ แล้วการเลี้ยง ปลากะพง สามารถเลี้ยงได้ทุกจังหวัด แต่เลี้ยงได้เพียงระยะเวลาสั้นๆไม่เกิน 6 เดือน และไซส์ที่ได้จะอยู่ที่ 7-9 ขีด ก็จะจับขาย หรือนำมาบริโภคเป็นเมนูต่างๆ บนโต๊ะอาหารที่เรามักจะพบเจอ แต่การเลี้ยง ปลากะพงยักษ์ใช้ระยะเวลาเลี้ยงนานถึง 18 เดือน หรือ 1 ปี 6 เดือน และไซส์ที่ได้มากกว่า 9 กิโลกรัม

และพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด เพราะไม่มีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นแบบภูมิภาคอื่น  ซึ่งไซส์ที่ตลาดต้องการจะอยู่ที่ 5-6 กิโลกรัม หรือขึ้นอยู่กับออเดอร์ว่าลูกค้าต้องการไซส์ไหนบ้าง

ตลาดปลากะพงยังมีช่องทางอยู่มาก มุ่งใช้การตลาดนำการผลิต 

คุณประโยชน์เปิดเผยว่า การทำให้ปลามีราคา ต้องการแปรรูปต่างๆ เพื่อเก็บไว้ทานที่บ้านได้ เกษตรยุคใหม่จะเน้นยังไงให้ปลากะพงยักษ์อยู่ติดตลาดได้นาน นั่นคือ “การวางการตลาด” ต้องมองตั้งแต่กระบวนการผลิต โดยการนำ ปลากะพง ในฟาร์มมาแปรรูป เพื่อให้ง่ายต่อการบริโภค และสามารถนำไปสู่ตลาดทั่วประเทศได้

ด้วยความสมบูรณ์ ถูกหลักอนามัย ใส่ใจในคุณภาพ ไม่คาว เก็บได้นาน และรักษาความอร่อยของปลากะพงยักษ์อย่างแท้จริง โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่จะบริโภคปลากะพงยักษ์คงยาก เนื่องจากไซส์มีขนาดใหญ่  และจะทำยังไงให้ตลาดมีความมั่นคงขึ้น

1. เน้นเรื่องการตลาด คือ ต้องทำให้สินค้าเกษตรง่ายต่อการบริโภค หรือการแปรรูป และคงไม่มีใครซื้อปลาที่มีไซส์ขนาด 5-6 กิโลกรัม มาทำทานได้ ฉะนั้นจึงมีการนำมาแปรรูป แบ่งจำหน่ายเป็นแพ๊ค โดยมีน้ำหนักอยู่ที่แพ๊คละ 500 กรัม เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปปรุงอาหารที่บ้านนั่นเอง

2. ความมั่นใจ และเชื่อมั่นว่าปลากะพงยักษ์ที่ออกจากขาวผ่องฟาร์ม ที่มีการเลี้ยงและบริหารจัดการที่ดี จึงจะนำไปแปรรูปเพื่อรักษาคุณภาพของเนื้อปลา โดยกรรมวิธีเจาะเลือดออก เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้น ความสด รสชาติ และปราศจากกลิ่นคาว

และได้รับการยืนยันจากลูกค้า หรือเจ้าของกิจการที่เกี่ยวข้องกับร้านอาหารว่ารสชาติของปลาดี ไม่มีกลิ่นคาว ไม่มีกลิ่นโคลน ทำให้หลายๆ ร้านเริ่มสนใจติดต่อสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และก่อนหน้านั้นถามลูกค้าที่ร้านอาหารหลายๆ คนว่ารู้จักปลากะพงยักษ์หรือไม่ ตอบได้เลยว่า “ไม่รู้จัก” รู้จักแต่ ปลากะพง ไซส์

ซึ่งตรงนี้ก็สร้างความมั่นใจว่าคุณภาพที่ทำ และคุณภาพของเนื้อปลากะพงยักษ์มีความอร่อยอยู่ในตัว เพียงแต่ขาดการส่งเสริม ซึ่งคนไทยหลายๆ คนที่มีโอกาสชิมเนื้อปลากะพงยักษ์ยังมีเพียงส่วนน้อย อย่างคนในแปดริ้วเอง หรือร้านอาหารหลายๆ ร้านก็แทบจะไม่รู้จักด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เป็นแหล่งผลิตลูกพันธุ์ ปลากะพง เยอะที่สุด

จึงทำให้มองเห็นช่องทางที่จะทำให้หลายๆ คนรู้จักปลากะพงยักษ์ โดยการเผยแพร่ หรือให้ข้อมูลหลายๆ ทาง เพื่อให้มีคนรู้จักปลากะพงยักษ์มากขึ้น ฉะนั้นการเลี้ยงปลากะพงยักษ์ก็ต้องสอดคล้องกับตลาด ซึ่งคุณประโยชน์มองว่า “ตลาดปลากะพงยังมีช่องทางอยู่มาก” ซึ่งถ้าได้รับความรู้หรือข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ก็จะทำให้มีความนิยมในการทานปลากะพงมากขึ้น

อย่างไรก็ตามก็ต้องมีตลาดปลากะพงยักษ์ขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคอีกด้วย ซึ่งทางฟาร์มผลิตปลากะพงยักษ์ก็จริง แต่คนอื่นๆ ก็สามารถผลิตได้เช่นกัน และก็ยังมีจำหน่ายอยู่ที่ตลาดบางที่

การเจาะเลือดออกจากตัวปลากะพงยักษ์ตั้งแต่ที่ฟาร์ม

ซึ่งปลากะพงยักษ์จากขาวผ่องฟาร์มมีความพิเศษและแตกต่างออกไป คือ การเจาะเลือดออกจากตัวปลากะพงยักษ์ตั้งแต่ที่ฟาร์ม ซึ่งแม่ค้าที่จัดส่งขายก็จะทำการจับส่งขายอย่างเดียวโดยไม่มีกรรมวิธีใดๆ ซึ่งถ้าใช้กรรมวิธีนี้ทั้งระบบ เชื่อได้เลยว่า “ปลากะพงยักษ์เป็นที่นิยมมากขึ้นแน่นอน”

คุณประโยชน์มองว่า ถ้ายุทธศาสตร์การเลี้ยงปลาในประเทศ มองสัดส่วนการเลี้ยง การวางแผน ในเรื่องการผลิต โซนที่เป็นพื้นที่ ที่มีข้อจำกัดในเรื่องของ

1. ช่วงเวลาการเลี้ยงที่มีระยะเวลาสั้นๆ เลี้ยงนานไม่ได้ เช่น ปัญหาภัยแล้ง อย่างภาคอีสาน จะให้เลี้ยงปลานานๆ ก็ยาก มักจะประสบปัญหาภัยแล้ง หรือภาคเหนือจะให้เลี้ยงปลานานๆ ก็จะประสบปัญหาภูมิอากาศที่หนาวจัด ส่งผลให้มีการเจริญเติบโตไม่ดี หรือปัญหาการสูญเสียที่สูง

ฉะนั้นควรแบ่งเป็นพื้นที่การเลี้ยงปลาอายุสั้นๆ เช่น ปลานิล ปลาทับทิม หรือปลารอ ที่ใช้เวลา 5-6 เดือน ซึ่งพื้นที่ใน จ.ฉะเชิงเทรา มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ไม่เกิดอุทกภัย ภูมิอากาศดี น่าจะส่งเสริมเกษตรกรหันมาเลี้ยงปลากะพง จะได้ไม่เป็นการแข่งขันทางด้านการผลิต

ซึ่งเป็นการจุดประกาย และเป็นแนวทางให้กับเกษตรกรที่ประสบปัญหาด้านการเลี้ยง ที่ไม่ได้รับความรู้ การส่งเสริม และการวางแผนการตลาดว่าไปที่ไหน เมื่อส่งตลาดแล้วมีกำไร หรือขาดทุน มากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นช่องทางให้กับผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ

ทุกประเทศเลี้ยง ปลากะพง ได้หมด

การเลี้ยง ปลากะพง บอกได้ว่าสามารถเลี้ยงได้หลายประเทศ และทุกประเทศเลี้ยงได้หมด เช่น ไต้หวัน จีน เป็นต้น ซึ่งสามารถเลี้ยง ปลากะพง ไซส์เล็กที่ต้นทุนถูกกว่าไทย ถ้าเลือกที่จะแข่งกับต่างชาติ ราคา ปลากะพง ไซส์เล็กก็คงยาก แต่ถ้าเป็น ปลากะพง ไซส์ยักษ์ เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครผลิตได้แน่นอน ซึ่งเราอยู่ในทำเลภูมิอากาศที่ดีกว่า

เป็นเหมือนศูนย์กลางความเจริญของทุกภูมิภาคของโลก “ผมว่าเราน่าจะผลิตและส่งเสริมปลากะพงยักษ์ส่งออกสู่ตลาดโลก ถ้าเรามีการส่งเสริมและมีการให้ข้อมูลกับผู้บริโภค ปลากะพงยักษ์แทนปลานำเข้าจากยุโรปเลย ถ้าการนำปลาเข้ามาจากยุโรปที่ คือ “ค่านิยมของคนไทยจะมองว่าการกินปลา ต้องกินปลาสดเท่านั้น” ซึ่งก็ถูกต้อง

ตอนนำมาส่งก็ยังคงเป็นปลาเป็นอยู่ แต่ก็ต้องมีกระบวนการเจาะเลือดออกเพื่อรักษาความสด ทำให้บางส่วนมองว่าปลาแช่แข็งไม่มีความสด ถ้ามองย้อนกลับไปปลาที่นำเข้าจากยุโรปใช้ระยะเวลากี่วันกว่าจะนำเข้ามา และปลาที่นำเข้ามาก็ทำกระบวนการเจาะเลือดเช่นกัน

เมื่อบริโภคในเมืองไทย ราคาต่อกิโลก็สูงถึงเกือบหลักพัน คนไทยก็ยังคงบริโภค ถ้าเทียบระหว่างปลานำเข้ากับปลากะพงยักษ์ รสชาติของเนื้อปลากะพงยักษ์ดีกว่า ซึ่งปลานำเข้ามากินดิบอาจจะอร่อย แต่เมื่อมาทำเป็นอาหารสุกแล้วจะสู้ปลากะพงยักษ์ไม่ได้

กระตุ้นการบริโภค ปลากะพงยักษ์ ให้เป็น ปลาปลาเศรษฐกิจ

ซึ่งตอนนี้การทำการตลาดของปลากะพงยักษ์ โดยการจัดงานขึ้นเพื่อสร้างภาพลักษณ์และจุดประกาย โดยเริ่มที่ฉะเชิงเทรา ซึ่งมีหลายๆ หน่วยงานยื่นมือเข้ามาช่วย อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงาน จ.ฉะเชิงเทรา, หอการค้า จ.ฉะเชิงเทรา, กรมประมง และผู้ประกอบการของอีกหลายๆ ส่วนที่เข้ามาช่วยในการกระตุ้นการบริโภค

ปลากะพงยักษ์ ถึงถ้าเกิดผลตอบรับที่ดีจากในจังหวัดแล้ว ก็จะทำการขยายไปให้ทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งหลายๆ ที่ก็เริ่มมีการติดต่อเข้ามาอย่างคับคั่ง และมีการส่งสินค้าให้ทดลองก่อนด้วย ผลตอบรับที่ได้ คือ การติดต่อขอเป็นตัวแทนจำหน่าย โดยไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะ

ใช้วิธีการส่งสินค้าให้ท

ดลอง ลูกค้าที่ติดต่อมาหลายๆ ที่ก็บอกเลยว่ารสชาติของเนื้อปลากะพงดี และอร่อย ซึ่งถ้ามีการสนับสนุนและส่งเสริมก็สามารถทำให้เป็น “ปลาเศรษฐกิจ” ได้อีกชนิดหนึ่ง เพราะการทำการเกษตรในไทยมักจะผลิตพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดการล้นตลาด ราคาตกลดลง

และยังอาศัยฤดูกาลเป็นหลักในการเลี้ยง เช่น การเพาะปลูกผลไม้ในเมืองไทยให้ออกตามฤดูได้ โดยอาศัยธรรมชาติ ก็จะบริหารจัดการค่อนข้างยาก ถ้าหากทำให้ออกนอกฤดู หรือมีการเก็บรักษาที่นานขึ้น ก็จะทำให้ราคาสูงขึ้นมากกว่าเดิม ฉะนั้นการเลี้ยง ปลากะพงไซส์ยักษ์ตอบโจทย์ในเรื่องของการบริหารจัดการที่ดี

หรือการเก็บรักษาที่ดี ปลากะพง ก็จะสามารถยืดอายุได้นาน อย่างปลากะพง 3 กิโล ไม่พร้อมที่จะจับ ก็สามารถเลี้ยงต่อไปจนกว่าจะพร้อมจับก็ได้ จนได้ไซส์ที่ลูกค้าต้องการ  ถ้าปลานิล ปลาทับทิม เกินไซส์ ราคาก็จะตก  ตลาดก็ไม่ต้องการ ถ้ามีการแปรรูป หรือมีการยืดอายุได้ ก็ยังช่วยในเรื่องของราคาได้

แต่ปลากะพงไซส์ยักษ์ต้องใช้ระยะเวลาที่ต้องเลี้ยงนาน จึงต้องมีการบริหารจัดการ และยิ่งได้ผู้มีประสบการณ์ในการวางแผนด้านการตลาดก็จะดียิ่งขึ้น

กรรมวิธีการแปรรูปปลากะพงยักษ์ เพื่อลดกลิ่นคาว และเพิ่มความสด

วิธีการแปรรูปของขาวผ่องฟาร์ม เริ่มจากนำข้อมูลของชาวตะวันตก หรือตะวันออก อย่างของชาวญี่ปุ่น เช่น นำปลาขึ้นมาจากบ่อแล้วคัดแยกไซส์ มีกระบวนการเจาะเลือดออกเพื่อให้ปราศจากกลิ่นคาว และเนื้อปลาก็จะเด้ง ก็สามารถรักษาไว้ได้นาน ซึ่งปลากะพงยักษ์ของขาวผ่องฟาร์มใช้กรรมวิธีการผลิตโดยการเจาะเลือดออกเพื่อลดความคาว

หรือเพิ่มรสชาติความอร่อย และเนื้อก็จะเด้ง สด เก็บรักษาได้นาน และมีกระบวนการบ่มเนื้อปลา, การแล่ด้วยความเร็ว และไว เพื่อไม่ให้มือสัมผัสกับเนื้อปลามากเกินไป เพราะจะส่งผลให้เนื้อปลาเสียอุณหภูมิ ที่จะคงความสด ซึ่งสังเกตได้ว่าถ้าปลาที่เจาะเลือดออก และยังคงความสด คือ ไขมันดีของปลาจะติดมีดออกมา

และถ้าเนื้อปลากะพงที่ไม่มีการนำเลือดออกจะพบว่าเนื้อปลาจะมีการจับตัวและคลายออก ทำให้ไม่มีความเด้ง ไม่สด และยังมีกลิ่นคาว อีกด้วย แต่ถ้ามีการเก็บรักษาเนื้อปลากะพงยักษ์โดยการแช่แข็งด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะ เมื่อนำมาทำอาหารก็จะมีรสชาติที่อร่อยยิ่งขึ้น

เหมือนปลาแซลมอลที่นำเข้ามาจากยุโรป ก็มีกระบวนการนำเลือดออกก่อนที่จะส่งขาย คนไทยบางส่วนยังคงบริโภค ซึ่งถ้าเกษตรกรที่เลี้ยงปลาได้รับข้อมูล วิธีการรักษา ให้เนื้อปลามีความสด  อร่อย และถ้ายังได้รับการส่งเสริมที่ดีถือได้ว่าเป็นปลาเศรษฐกิจ ยิ่งปลากะพงยักษ์ของมีขนาดที่ใหญ่มาก จึงมีโอเมก้ามากขึ้น

บ่อสะอาด ปลากะพงยักษ์ได้คุณภาพ

พื้นที่ในการเลี้ยงปลากะพงยักษ์ของคุณประโยชน์ประมาณ 300-400 ไร่ ใช้ระยะเวลาการเลี้ยงนานถึง 18 เดือน ซึ่งค่อนข้างนานมาก การเลี้ยงปลากะพงยักษ์เริ่มตั้งแต่การเตรียมบ่อที่มีความสะอาด ปราศจากสิ่งสกปรกภายในพื้นบ่อ จะต้องไม่มีของเสีย

เนื่องจากระยะเวลาเลี้ยงที่ค่อนข้างยาวนาน และเลี้ยงด้วย อาหารปลากระพง เม็ดสำเร็จรูป และให้เพียง 2 เวลา (เช้า-เย็น) ซึ่งข้อดีของ อาหารปลากระพง เม็ดก็คือ สามารถรู้ได้ว่าปลากินหรือไม่ ทำให้ของเสียภายในบ่อมีค่อนข้างน้อย ต่างกับเหยื่อสด เมื่อโยนลงไปภายในบ่อ เหยื่อจะหล่นไปที่ก้นบ่อ ซึ่งไม่สามารถรู้ได้ว่าเหยื่อสดนั้นหมดหรือไม่

จึงทำให้เกิดเป็นของเสียภายในบ่อ คุณภาพน้ำไม่ดี ปลามีอาการเครียด อ่อนแอ และไม่กิน อาหารปลากระพง ทำให้ระหว่างการเลี้ยงมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ และเสริมด้วยจุลินทรีย์ เพื่อคงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น และบ่อก็จะสะอาด ซึ่งน้ำในบ่อเป็นปัจจัยหลักของการเลี้ยงปลากะพงยักษ์อย่างมาก

จะส่งผลให้ปลากะพงยักษ์มีสุขภาพที่ดี มีการเจริญเติบโตที่ดี และที่สำคัญเนื้อปลาก็จะดีอีกด้วย ถือว่าการอยู่ การกิน ของปลาค่อนข้างดี ภายในบ่อและพื้นที่รอบข้างก็ไม่มีกลิ่นคาวของขี้โคลน การันตีได้เลยว่าปลากะพงยักษ์จากบ่อขาวผ่องฟาร์มมีความสะอาดอย่างแน่นอน และสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ ก็ดี เพราะใส่ใจอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง

สิ่งที่ได้ไม่ใช่เพียงขนาดไซส์ยักษ์ แต่รวมถึงความสมบูรณ์ ความแข็งแรง ของปลากะพงยักษ์อีกด้วย ซึ่งเกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงบางคนกลัวในเรื่องของตลาดที่หายาก ซึ่งไม่ใช่ปัญหา แต่ยังมีผู้ซื้อน้อย และห้องเย็นยังไม่ค่อยลงมาจับตลาด มีเพียงไม่กี่เจ้าที่จับตลาดปลากะพงไซส์ยักษ์ จึงทำให้สามารถกำหนดผู้ซื้อได้เลย

ปลากะพงยักษ์ วิ่งตลาด ร้านอาหาร และส่งขึ้นห้าง 7,000ตัน/ปี

คุณประโยชน์ยืนยันว่า เรื่องการตลาดของปลากะพงยักษ์จะเพิ่มขึ้น และพิสูจน์แล้วว่าเนื้อปลากะพงยักษ์ไม่มีกลิ่นคาวจริง เนื้อยังสด และเด้งอยู่ ถือว่าเป็นภาพลักษณ์และจุดประกายปลากะพงยักษ์ใน จ.ฉะเชิงเทรา จึงได้รับส่งเสริมจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จ.ฉะเชิงเทรา, หอการค้า ฉะเชิงเทรา, กรมประมง และผู้ประกอบการ ของหลายๆ

ส่วนที่เข้ามาช่วยกระตุ้นการบริโภคปลากะพงยักษ์ที่ จ.ฉะเชิงเทรา เชื่อว่าถ้า จ.ฉะเชิงเทรา ทำแล้วได้ผล ก็จะขยายไปทั่วทุกภูมิภาค ณ ตอนนี้หลายๆ คนในเครือข่ายก็ส่งผลิตภัณฑ์เพื่อไปจัดจำหน่าย ถือว่าได้ผลตอบรับที่ดี

เพราะการันตีจากร้านค้าพื้นที่ใน จ.ฉะเชิงเทรา เช่น ร้านติดลม ,ร้าน Nungjor (นั่งจ้อ), The River Barn, ร้านบ้านเบญฯ, ร้านชวนมา, ร้านบ้านไม้ริมน้ำ@แปดริ้ว, ร้านบ้านอุ๋ม/ก๋วยเตี๋ยวแพนด้า, โรงเบียร์แปดริ้ว, ครัวอิ่มสุข, ร้านรวยเรือนแพ, ร้านอาหาร The Terrace by โรงเบียร์แปดริ้ว, ร้านมธุรสเรือนแพ, ร้านเก้ามณี,

ร้านกินลมชมปลา, PadRiew Station, บ้านตะเกียง, ร้านกู๊ดวิว บายระเบียงน้ำ, บ้านโพธิ์ริเวอร์ไซด์, ร้านบอสฯ ได้มีการนำเนื้อปลากะพงยักษ์ขึ้นโต๊ะ หรือเมนูแนะนำที่น่าทาน อาทิ ปลากะพงยักษ์คั่วขิง, สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาปลากะพงยักษ์, ข้าวต้มปลากะพงยักษ์, ปลากะพงยักษ์ทอดน้ำปลาฯลฯ แต่ก็ไม่ได้แค่เพียงร้านอาหารเท่านั้น

แต่ยังมีการติดต่อจัดจำหน่ายไปยังหลายๆ ที่  เช่น “ฟู้ดแลนด์” ซึ่งถ้ามีสาขาตรงไหนก็จะมีปลากะพงยักษ์จำหน่ายอยู่ที่นั้น ทางฟาร์มก็จะส่งเป็นตัวให้กับทางห้าง เพื่อที่นำไปแล่เองในการจัดจำหน่ายให้กับผู้บริโภค “บาร์บีคิว พลาซ่า” ก็ยังเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่เลือกใช้เนื้อปลากะพงยักษ์เพียงบางส่วนไปเป็นวัตถุดิบอีกด้วย

และเครือเดอะมอลล์ทั้งหมดก็ยังมีจำหน่าย โดยมีการจัดส่งปลากะพงยักษ์จากฟาร์ม โดยผ่าน บริษัท ศิริกุล ซีฟู๊ดส์ และอีกหลายๆ บริษัทที่กำลังจะนำเนื้อปลากะพงยักษ์ไปจำหน่าย หรือขึ้นโต๊ะเร็วๆ นี้ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าเป็นการช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากะพงยักษ์ยิ้ม

ซึ่งผลผลิตที่ส่งเข้าห้องเย็นของสมาชิกภายในกลุ่มก็สูงถึง 7,000ตัน/ปี จึงทำให้การเลี้ยงปลากะพงยักษ์มีแนวโน้มการขยายตลาดออกมาได้กว้างขึ้นกว่าเดิม

ฝากถึงเกษตรกร ที่จะรับซื้อเพื่อไปจำหน่าย หรือผู้ที่สนใจจะทานปลากะพงยักษ์

อยากให้ทุกคนมีโอกาสได้ลองทานเนื้อปลากะพงยักษ์ โดยกรรมวิธีการเจาะเลือดออก บ่มเนื้อปลา สำหรับคนที่ชอบทานปลาจะรู้เลยว่าเป็นปลาที่เหมาะกับการบริโภคของไทยที่สุด คุณค่า อาหารปลากระพง ถูกสร้างโดยธรรมชาติของปลากะพงยักษ์เอง และในการเลี้ยงเราใช้ อาหารปลากระพง เม็ดเลี้ยง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้เลยว่า

1. ไม่พบสารตกค้าง
2. เชื้อโรคไม่มี
3. ของเสียก็ไม่มีกลิ่นคาว และอาหารที่ใช้ก็กำหนดคุณภาพของเนื้อปลากะพงยักษ์ได้เลย

หากเกษตรกร หรือร้านอาหาร จะพูดคุย หรือนัดแนะกัน เข้าไปเยี่ยมชมฟาร์มได้เฉพาะวันอังคาร และวันศุกร์ เท่านั้น 

ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณประโยชน์ ขาวผ่องฟาร์ม (ฉะเชิงเทรา)

ปลากะพง ปลากระพง ปลากะพงขาว ปลาโจ้โล้ การเลี้ยงปลาในกระชัง เลี้ยงปลาในกระชัง การเลี้ยงปลากระพง ปลากะพงขาว การเลี้ยงปลาในกระชัง อาหารปลากระพง 

โทร: 084-351-8465 (คุณประโยชน์)  086-171-3402 FB:จำหน่ายปลากะพงยักษ์ สดจากขาวผ่องฟาร์ม