แปรรูปผัก ผลไม้ มาทอดกรอบในรูปแบบของ “สแน็ค” เน้นใช้ตลาดนำการผลิต

การผลิตและแปรรูปผักและผลไม้

ประเทศไทย คือ เมืองแห่งเกษตร มีผักและผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือกซื้อหามารับประทาน  แต่หากเมื่อใดที่ผักผลไม้เหล่านี้มีจำนวนมากเกินความจำเป็น ก็จะทำให้ผลผลิตมีราคาตกต่ำ เกษตรกรเดือดร้อน และขาดรายได้

ด้วยเหตุนี้จึงมีกลุ่มธุรกิจแปรรูปผักและผลไม้เกิดขึ้น เพื่อนำผลผลิตเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการแปรรูป เพิ่มมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สร้างรายได้ให้สูงขึ้น ช่วยให้ผลผลิตในท้องตลาดลดลง

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ นักธุรกิจรุ่นใหม่หัวใจเกษตร ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจด้านการแปรรูปผักและผลไม้ ที่มีชื่อเสียงด้านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ที่รู้จักกันดีในนาม  บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด ที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจแปรรูปผักและผลไม้ ภายใต้ชื่อ “กรีนเดย์” ให้เป็นผลิตภัณฑ์สแน็คทอดกรอบเพื่อสุขภาพ

จนติดตลาดในกลุ่มของผู้บริโภคที่ชื่นชอบการทานผักและผลไม้ทอดกรอบ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้หลายร้อยล้านบาทต่อปี

จุดเริ่มต้นการ แปรรูปผัก และผลไม้

บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด ดำเนินธุรกิจโดย คุณชัยรัตน์ คงศุภมานนท์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทฯ ที่ยึดมั่นในธุรกิจ แปรรูปผัก และผลไม้ทอดกรอบ ด้วยแรงบันดาลใจที่เกิดจากความต้องการที่จะพัฒนาต่อยอดธุรกิจของครอบครัว

ซึ่งเป็นธุรกิจ “เทรดดิ้ง” ประกอบกับตนเองได้เรียนจบด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีทางด้านอาหาร จากรั้วจามจุรี จึงมีแนวคิดที่อยากจะนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาพัฒนาต่อยอดให้กับธุรกิจของครอบครัว เพื่อความเจริญก้าวหน้าในทางธุรกิจยิ่งๆ ขึ้นไป อีกทั้งเทรนสุขภาพในสมัยนี้ค่อนข้างมาแรง

ทำให้คุณชัยรัตน์ได้มองหาธุรกิจเพื่อสุขภาพเป็นอันดับแรก ก่อนจะตัดสินใจทดลองนำผักและผลไม้มาทอดกรอบในรูปแบบของ “สแน็ค” เพื่อให้ผู้บริโภคทานง่าย สามารถรับประทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จนกระทั่งเป็นที่ถูกปากและถูกใจตลาดและผู้บริโภค จึงเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ผักและผลไม้ทอดกรอบ ภายใต้แบรน “กรีนเดย์” (greenday)

ปัญหาและอุปสรรค

คุณชัยรัตน์ยอมรับว่ากว่าจะมาเป็นสแน็ค “กรีนเดย์” ได้อย่างทุกวันนี้ต้องผ่านอุปสรรคมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งเรื่องของความนิ่งคุณภาพวัตถุดิบ เรื่องการเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องใช้เวลาในการลองผิดลองถูกมาหลายปี ก่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนา

จนกระทั่งประสบความสำเร็จได้ในปี 2547 ส่งผลให้สแน็ค “กรีนเดย์” เริ่มตั้งตัวได้ โดยคุณชัยรัตน์เน้นเจาะกลุ่มตลาดสุขภาพเป็นหลัก ที่ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีโดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ ทำให้มีการส่งออกสินค้าไปมากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

และแน่นอนว่าเมื่อสินค้าขายดี ความต้องการมีเพิ่มมากขึ้น ปัญหาที่ตามมา คือ เรื่องของวัตถุดิบในการนำมาผลิตหรือแปรรูปเป็นสแน็ค ที่เริ่มจะไม่เพียงพอกับกำลังการผลิตที่มี ทำให้บริษัทต้องจัดหาวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น

จากเดิมที่เคยรับซื้อวัตถุดิบหลักจากพ่อค้าคนกลาง บริษัทก็ต้องเริ่มหันมาส่งเสริมเกษตรกรปลูกผักและผลไม้เองแทน เพื่อเพิ่มวัตถุดิบในการผลิตให้ได้ ด้วยการทำ “คอนแทรคฟาร์มมิ่ง” กับกลุ่มเกษตรกร

การส่งเสริมการปลูกผักและผลไม้

นอกจากบริษัทจะได้วัตถุดิบที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นแล้ว ประโยชน์ของการส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกผักและผลไม้ส่งบริษัทโดยตรง ยังทำให้ทางบริษัทสามารถดูแลคุณภาพของวัตถุดิบได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะเรื่องของสารเคมีที่ตกค้างอยู่กับวัตถุดิบ เพื่อความปลอดภัยของ ผู้บริโภค

โดยบริษัทจะเซ็นสัญญา MOU กับกลุ่มเกษตรกรโดยตรง ซึ่งโครงการนี้มี   คุณพัณณ์ชิตา ฐานุพงษ์ระวี หรือคุณติ๊ก เป็นผู้รับผิดชอบโครงการโดยตรง

“ก่อนที่บริษัทเราจะเข้าไปส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกอะไรก็ตาม เราต้องดูก่อนว่าบริษัทมีเป้าหมายว่าต้องการสินค้าตัวไหน จากนั้นถึงจะลงไปหาเกษตรกรดูว่ามีเกษตรกรกลุ่มไหนที่เขาพร้อมที่จะมาร่วมกับเรา อย่างบางกลุ่มที่เขามีแม่ค้าเข้ามารับซื้ออยู่แล้ว เราก็จะไม่เข้าไปยุ่ง

เราจะมองหากลุ่มเกษตรกรที่เขาพร้อมอยากเริ่มต้น เราก็จะดึงเกษตรกรกลุ่มนี้เข้ามาร่วมโครงการ ให้เขาเดินไปพร้อมกับเรา โตไปพร้อมกับเรา มากกว่า” คุณติ๊กอธิบายการเข้าไปส่งเสริมเกษตรกรเพื่อก้าวเดินไปพร้อมกัน

เช่นเดียวกับ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชน จ.พะเยา” ที่นำร่องโครงการนี้ก่อนใคร และยังประสบความสำเร็จค่อนข้างดี เนื่องจากบริษัท กรีนเดย์ฯ ได้เข้าไปส่งเสริมเกษตรกรชาวสวนให้หันมาปลูก “กระเจี๊ยบเขียว” เพื่อนำผลผลิตส่งขายให้แก่บริษัทแล้ว

ในขณะเดียวกันก็ได้มีการขยายพื้นที่ออกไปมากกว่า 70-200 ไร่ กินพื้นที่หลายอำเภอ นอกจากการเข้าไปส่งเสริมการปลูกพืชและรับซื้อผลผลิตให้กับเกษตรกรแล้ว บริษัทยังดูแลเกษตรกร ตั้งแต่การให้ความรู้ วิธีการปลูก การดูแล รวมไปถึงเรื่องของโรคและแมลง และการใช้สารเคมีต่างๆ

บริษัทจะเข้ามาดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผลผลิตที่ออกมาได้เกณฑ์มาตรฐานทั้งหมด และไร้สารเคมีตกค้าง เพื่อความปลอดภัยของตัวเกษตรกรเอง และของผู้บริโภค และที่สำคัญเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องทำการปลูกพืชให้ได้มาตรฐาน GAP เท่านั้น

บริษัทจึงจะทำการรับซื้อผลผลิตกลับเข้าสู่กระบวนแปรรูปภายในโรงงาน ซึ่งในส่วนนี้บริษัทจะมีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมเข้ามาดูแลแปลงผักของเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงเรื่องของเมล็ดพันธุ์ในการเพาะปลูก ที่บริษัทจะให้เมล็ดพันธุ์แก่เกษตรกรก่อน แล้วจึงค่อยหักคืนในขั้นตอนที่ขายผลผลิตกลับคืนให้กับบริษัทฯ เมื่อผลผลิตสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว

หากบริษัทมีจำนวนเกษตรกรมากขึ้น บริษัทจะนำรถเข้าไปบรรทุกสินค้าเอง แต่หากมีปริมาณน้อย เกษตรกรต้องนำผลผลิตมาส่งที่โรงงานเอง แต่ทางบริษัทจะมีค่าขนส่งให้ต่างหาก เรียกว่า บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด ดูแลเกษตรกรตั้งแต่เริ่มต้นเพาะปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยวจำหน่ายได้เลยทีเดียว

การจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน

นอกจากนี้คุณติ๊กยังกล่าวอีกว่า หากเกษตรกรท่านใดที่สนใจเข้าร่วมโครงการกับ บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด อยากจะแนะนำให้รวมกลุ่มกันขึ้นมาก่อน เพื่อจัดตั้งเป็น “สหกรณ์” หรือ “วิสาหกิจชุมชน” เพื่อง่ายต่อการรวบรวมผลผลิต และการขนส่ง 

ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องมีการปรับทัศนคติกันก่อน ด้วยการพูดคุยระหว่างเกษตรกรและบริษัท ให้เข้าใจในเรื่องของกฎเกณฑ์ต่างๆ จากนั้นบริษัทจึงจะลงพื้นที่เพื่อดูสถานที่เพาะปลูก และดูเรื่องของการใช้สารเคมีในเบื้องต้นก่อน

เนื่องจากในอนาคต บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด จะเริ่มหันมาใช้วัตถุดิบที่เป็น “ออร์แกนิค” มากขึ้น เพื่อลดการใช้สารเคมีทั้งหมด ซึ่งโครงการนี้บริษัทจะเริ่มต้นเองก่อน โดยใช้พื้นที่ฟาร์มของตนเอง และหากประสบผลสำเร็จที่ดีจะเริ่มขยายผลไปยังกลุ่มเกษตรกรในเครือข่ายให้หันมาปลูกพืชแบบออร์แกนิคทั้งหมด

ปัจจุบันบริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด ได้เข้าไปส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชทั้งหมด 4 ชนิด ได้แก่ กระเจี๊ยบเขียว, บร็อคโคลี่, มะพร้าว และกล้วยหอม ซึ่งพืชทุกชนิดทางบริษัทจะมีการประกันราคารับซื้อผลผลิตยืนตลอดทั้งปี ฉะนั้นเกษตรกรสามารถมั่นใจได้ว่าบริษัทจะไม่กดราคารับซื้อผลผลิตแน่นอน

ด้านตลาดและการจำหน่ายผักและผลไม้ ในรูปแบบสแน็ค

นอกจากนี้คุณชัยรัตน์ยังได้กล่าวถึงแผนการตลาดในปี 2561 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ที่บริษัทจะเริ่มรุกตลาดในประเทศมากขึ้น จากเดิมปริมาณขายในประเทศมีเพียง 20% ในปีหน้า จะพยายามเพิ่มตลาดในประเทศให้ได้มากที่สุด เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น จากโรงงานแห่งใหม่

อีกทั้งในปัจจุบันคนไทยเริ่มหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น และจุดเด่นของ  “กรีนเดย์” คือ เป็นผักและผลไม้แท้ 100% ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพในประเทศได้ดีที่สุด ซึ่งในปี 2561 นี้ บริษัทจะทำการตลาดให้คนไทยรู้จักสแน็คเพื่อสุขภาพ “กรีนเดย์”

โดยผ่านตัวแทนการขายที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถกระตุ้นยอดขายในประเทศได้ พร้อมทั้งเล่าจุดเด่นของ สแน็คกรีนเดย์ ว่ามีประโยชน์อย่างไร เช่น การใช้น้ำมันรำข้าวในการทอด การทอดในระบบสุญญากาศ การไม่ใช้ผงชูรส  เป็นผักและผลไม้ทอดกรอบ 100% มีสิ่งอื่นมาผสม เป็นต้น

 คุณชัยรัตน์ยังกล่าวอีกว่า “การที่ บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด ประสบความสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องของคุณภาพสินค้าและการบริการ เพราะว่าทุกวันนี้คนชอบเอาตลาดนำจนเกินไป สินค้าขายเหมือนๆ กัน บางทีคุณภาพก็ไม่ดี อาจจะเน้นขายทางออนไลน์เป็นหลัก เพราะเข้าถึงผู้บริโภคง่าย  

แต่ “กรีนเดย์” จะเน้นเรื่องของคุณภาพสินค้ามาก่อน เมื่อคุณภาพดี ผู้บริโภคก็ไม่ไปไหน กลับมาซื้อซ้ำ ฉะนั้นเรื่องคุณภาพจึงเป็นเรื่องแรกที่เราให้ความสำคัญ เมื่อคุณภาพได้แล้ว ส่วนที่สำคัญต่อมา คือ “พาร์ทเนอร์” หรือคู่ค้า เพื่อเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคได้ง่ายที่สุด ฉะนั้นสองสิ่งนี้ คือ สิ่งที่ทำให้กรีนเดย์เดินทางมาได้จนถึงทุกวันนี้”

สนใจเข้าร่วมเป็นเกษตรกรในเครือข่าย บริษัท กรีนเดย์ โกลบอล จำกัด

ติดต่อ บริษัท กรีนเดย์  โกลบอล จำกัด

90/38 ห้อง 101 หมู่ที่ 20 ซอยบุญมีทรัพย์ ถนนบางพลี-ตำหรุ ตำบลบางพลีใหญ่  อำเภอบางพลี จังหวัด สมุทรปราการ 10540โทร.02-382-5090-5

แปรรูปผัก แปรรูปผัก แปรรูปผัก แปรรูปผัก แปรรูปผัก แปรรูปผัก แปรรูปผัก แปรรูปผัก แปรรูปผัก แปรรูปผัก