ต้องยอมรับความจริงอีกอย่างหนึ่งว่า “ประชากร” ส่วนใหญ่ของประเทศไทยนั้นอยู่ในภาคการเกษตรมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชาวนา” ที่อยู่เป็นจำนวนมากกว่า 3.7 ล้านครัวเรือน หรือประมาณ 15-16 ล้านคน ทั่วประเทศ ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรไทยทั้งประเทศ ที่เปรียบเสมือนเป็น “ฐานราก” ที่สำคัญของประเทศไทยตลอดมา
ดังนั้นการพัฒนาประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนนั้น คือ การมุ่งเน้นพัฒนาประชากรในภาคการเกษตรอย่างเป็นระบบ เป็นเกษตรเชิงคุณภาพ เป็นเกษตรยุคนวัตกรรมแบบผสมผสาน เมื่อเกษตรเหล่านี้มีความมั่นคงก็จะเกิดพลังมหาศาลในการ “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”
![ข้าวหอม-กข43](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2018/11/ข้าวหอม-กข43.jpg)
![1.การปลูกข้าวคุณภาพ-ข้าวกข-43-ป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศ](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2018/11/1.การปลูกข้าวคุณภาพ-ข้าวกข-43-ป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศ.jpg)
ภาพรวมการปลูกข้าวของไทย
ในภาพรวมของประเทศให้เดินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้มแข็ง เนื่องจากวิถีชีวิตของชาวนาในยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง นั่นเป็นเพราะชาวนาในอดีตเป็นสังคมที่มักอยู่กันแบบเรียบง่าย มุ่งเน้นการทำนา ปลูกข้าว เพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนเป็นหลัก ส่วนที่เหลือค่อยนำมาขายให้กับพ่อค้า เพื่อสร้างรายได้ให้กับ ครอบครัว
แต่ปัจจุบันนี้สังคมชาวนาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก เพราะการทำนาในทุกวันนี้มุ่งเน้นการปลูกข้าวเพื่อขายเป็นหลัก แล้วค่อยกลับไปซื้อข้าวกิน ทำให้ชาวนาเกิดการขัดแย้งและแย่งชิงในเรื่องต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดินในการเพาะปลูก แหล่งน้ำเพื่อใช้ในการเพาะปลูก มีการใช้สารเคมีมากขึ้น จนเกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมลงไปทุกวัน
ที่สำคัญที่สุด คือ ชาวนามี “ต้นทุนการผลิตข้าวสูงขึ้น” ในขณะที่ “ผลผลิตราคาตกต่ำ” แม้ว่าจะมีโครงการต่างๆ จากทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาช่วยเหลือทุกปี แต่ใช่ว่าปัญหาของชาวนาจะหมดไป และเกิดความยั่งยืนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวนาจะเอาความยั่งยืนมาจากไหน? ดังนั้นปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชาวนาต่อไป ชาวนาต้องหันมาทำข้าวปลอดภัย เป็นข้าวคุณภาพ เพื่อผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ หนึ่งในนั้นก็คือ “ ข้าวกข43 ข้าวน้ำตาลต่ำ” เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคอื่นๆ
![2.นายกประสิทธื์-บุญเฉย-นายกสมาคมชาวนาข้าวไทย](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2018/11/2.นายกประสิทธื์-บุญเฉย-นายกสมาคมชาวนาข้าวไทย.jpg)
การจัดตั้งองค์กรชาวนา
นายกประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาข้าวไทย ได้เปิดใจถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้กับข้าวและชาวนาไทยไว้ว่า ก่อนที่ชาวนาจะให้ใครช่วย ชาวนาหรือขบวนการชาวนาจะต้องหันมาช่วยเหลือตนเอง เริ่มต้นจากการ “เปลี่ยนความคิดด้านอาชีพ” ต้องรวมกลุ่มกันเป็นองค์กรของชาวนาที่เข้มแข็ง มีการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา เพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องชาวนาทั้งประเทศไทย
จึงได้รวมตัวกับแกนนำชาวนาทั้งประเทศ ในช่วงนั้นจัดตั้งองค์กรชาวนาขึ้นมาในนาม “สมาคมชาวนาไทย” เมื่อปี พ.ศ.2543 เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับชาวนาทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ ต่อมาแกนนำชาวนาได้เล็งเห็นความสำคัญในการจัดตั้งองค์กรชาวนาขึ้นมาเพื่อสร้างความเข้มแข็ง เป็นกระบอกเสียงให้กับชาวนาได้ จึงได้มีการจัดตั้งสมาคมชาวนาขึ้นมาอีกหลายสมาคม เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนชาวนาอย่างมีประสิทธิภาพ
ต่อมาสมาคมชาวนาไทยจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น สมาคมชาวนาข้าวไทย ในปีพ.ศ.2550 เพื่อให้การดำเนินงานของสมาคมครอบคลุมทั้งเรื่องชาวนาและเรื่องข้าวอย่างครบวงจร
![3.นายกสมาคมและคณะกรรมการทุกคนทำงานอย่างเสียสละ-ไม่มีค่าตอบแทน](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2018/11/3.นายกสมาคมและคณะกรรมการทุกคนทำงานอย่างเสียสละ-ไม่มีค่าตอบแทน.jpg)
![การทำงานร่วมกับภาครัฐ ส่งเสริมปลูก ข้าวกข43](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2018/12/การทำงานร่วมกับภาครัฐ-ส่งเสริมปลูก-ข้าวกข43.jpg)
แนวทางการแก้ไขปัญหาให้กับชาวนา
การดำเนินงานในช่วงแรก นายกประสิทธิ์ยืนยันว่าต้องการเรียกร้องเรื่องราคาข้าวที่เป็นธรรมให้กับชาวนา แม้ในช่วงวิกฤติสมาคมฯ ก็ได้เป็นตัวแทนพี่น้องชาวนาในการปิดถนนเพื่อมุ่งเน้นอยากให้ราคาข้าวสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ทว่าชาวนาไม่มีความยั่งยืนและมั่นคงอย่างแท้จริง
สมาคมฯ จึงได้รวมแกนนำชาวนาในแต่ละพื้นที่ปรับเปลี่ยนวิธีการขับเคลื่อนมาเป็นการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกับทุกฝ่าย เพื่อให้อุตสาหกรรมข้าวและชาวนาไทยเดินต่อไปได้ ตลอดจนการเป็นสื่อกลางในการเรียกร้องระหว่างชาวนากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขต่อไป สมาคมฯ จึงเป็นสื่อกลางระหว่างชาวนาในแต่ละพื้นที่กับหน่วยงานภาครัฐที่จะนำเสนอความต้องการต่างๆ
นอกจากนี้ยังนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่างๆ องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชาวนาโดยตรงให้ทุกฝ่ายได้รับทราบทั้งในและต่างประเทศเพื่อเป็นประโยชน์ต่อชาวนาในการพัฒนาต่อไป นอกจากนี้สมาคมฯ ยังมีโครงการที่ช่วยเหลือและส่งเสริมชาวนาให้มีความมั่นคงในอาชีพอย่างแท้จริง ด้วยการแก้ไขปัญหาของพี่น้องชาวนาได้อย่างตรงจุด เพื่อให้ชาวนามีชีวิตที่ดีขึ้น
จากประสบการณ์และได้ศึกษาหาความรู้ในหลายด้านก็พบความจริงหลายอย่างที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ การทำนาที่ขาดทุน การใช้ปุ๋ย สารเคมี ที่ยังขาดองค์ความรู้ที่ถูกต้อง ดังนั้นการทำนาจะประสบผลสำเร็จได้จะต้องเป็นผู้ที่มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ในการทำเพื่อสังคมโดยไม่หวังประโยชน์ส่วนตัว
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันคุณประสิทธิ์จะไม่ได้ทำนาแล้ว แต่ก็ยังคลุกคลีกับชาวนา รับทราบถึงปัญหาต่างๆ และยังหาทางแก้ไขปัญหาให้กับชาวนาตลอดมาเพื่อความยั่งยืนและมั่นคง ดังนั้นสมาชิกทุกคนของสมาคมฯ ที่เข้ามาทำงานล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เสียสละ เพราะการดำเนินงานในแต่ละครั้งไม่มีค่าตอบแทน เป็นการช่วยเหลือชาวนาให้สามารถผลิตข้าวเพื่อเลี้ยงคนไทยทั้งประเทศและชาวโลกต่อไปได้
![4.ข้าวคุณภาพจากชาวนาไทย-เน้นลดต้นทุน-เพิ่มคุณค่า-และเพิ่มมูลค่า](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2018/11/4.ข้าวคุณภาพจากชาวนาไทย-เน้นลดต้นทุน-เพิ่มคุณค่า-และเพิ่มมูลค่า.jpg)
รายได้จากผลผลิตข้าว
แม้ว่าราคาข้าวในปัจจุบันจะมีการปรับตัวขึ้นกว่าในอดีต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “รายได้” ของชาวนาจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย เพราะราคาปัจจัยในการผลิตสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี ยา ฮอร์โมนต่างๆรวมทั้งสารปราบศัตรูพืช อีกทั้งเกษตรกรมีการใช้สิ่งเหล่านี้ในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าแรงงาน ที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ทำให้ชาวนามี “ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น” เพราะฉะนั้นจะมองเพียง “ราคาข้าวที่สูงขึ้น” เป็นตัวตั้งเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่เกษตรกรชาวนาต้องมองถึงการปรับตัวโดยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มมูลค่า เพราะต้นทุนของเกษตรกรแต่ละคน แต่ละพื้นที่ ไม่เท่ากัน เมื่อจำหน่ายผลผลิต หักลบต้นทุนแล้วเหลือไม่เท่าไรเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงแม้ว่าราคาข้าวจะสูงขึ้น แต่เกษตรกรก็ยังมีรายได้ที่น้อยเหมือนเดิม
![5.การส่งเสริมชาวนาในโครงการชาวนามหาเศรษฐี](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2018/11/5.การส่งเสริมชาวนาในโครงการชาวนามหาเศรษฐี.jpg)
เป้าหมายของโครงการชาวนามหาเศรษฐี
ดังนั้นนายกประสิทธิ์จึงได้ร่วมกับแกนนำชาวนา ภาครัฐ และเอกชน ในการส่งเสริมชาวนาไทย ภายใต้โครงการต่างๆ มากมาย อาทิ โครงการชาวนามหาเศรษฐีคันนามหาสมบัติ โครงการร่วมมือเพื่อกู้วิกฤติชาวนาไทย โครงการชาวนามหาเศรษฐีชัยนาทโมเดล (เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย-เพิ่มผลผลิต-ชุบชีวิต-ชาวนาไทย) เป็นต้น โดยเฉพาะโครงการที่ โดดเด่นในอดีตที่ผ่านมา คือ “โครงการชาวนามหาเศรษฐี” ที่มีเป้าหมาย คือ
1.การลดต้นทุน ตั้งแต่ปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยว ไม่เกิน 4,000 บาท/ไร่
2.เพิ่มผลผลิตมากกว่า 10% ขึ้นไป
3.ชาวนาได้รับการการประกันราคาจากรัฐบาล ข้าวสาร 15,000 บาท /ตัน ข้าวหอมมะลิ 20,000 บาท/ตัน
4.รัฐบาลรับประกันการซื้อโดยไปผูกกับโครงการจำนำของรัฐบาล
5.เป็นการรวมกันซื้อ รวมกันขาย เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง และผู้ขายปุ๋ย ยา จะต้องสนับสนุนทางด้านวิชาการ
6.วิธีการทำนาเป็นแบบทดสอบในเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่เป็นแบบแปลงสาธิต จะทำให้สามารถคาดการณ์ผลผลิตได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
7.เมื่อมีสมาชิกมากขึ้น สมาคมจะสามารถจัดสวัสดิการให้กับชาวนาได้ เพื่อกู้วิกฤติชาวนาไทย ชาวนามีความภูมิใจในอาชีพ มีอาชีพที่มั่นคง
![6.การนำผลผลิตเข้าสู่โรงสีที่ได้มาตรฐาน](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2018/11/6.การนำผลผลิตเข้าสู่โรงสีที่ได้มาตรฐาน.jpg)
![คุณภาพข้าวเกรดพรีเมียมเพื่อการส่งออก](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2018/11/คุณภาพข้าวเกรดพรีเมียมเพื่อการส่งออก.jpg)
คุณสมบัติโดดเด่นของ ข้าวกข43
ล่าสุดนายกประสิทธิ์ได้หันมาส่งเสริม “ ข้าวกข43 ” ซึ่งเป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นเป็นพิเศษ ภายใต้การดำเนินงานของ “สมาคมชาวนาข้าวไทย” โดยการร่วมกับภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนและผลักดันให้ “ ข้าวกข43 ” เป็นข้าวเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง เป็นทางเลือกให้กับตลาดและผู้บริโภค ทั้งในและต่างประเทศ
เนื่องจาก ข้าวกข43 (RD43) เป็นข้าวเจ้าที่ได้จากการผสมเดี่ยวระหว่างพันธุ์ข้าวเจ้าหอมสุพรรณบุรีและพันธุ์สุพรรณบุรี1 ที่ศูนย์วิจัยข้าวสุพรรณบุรีในฤดูนาปรังพ.ศ.2542 และปลูกคัดเลือกชั่วที่ 2-7 จนได้สายพันธุ์ SPR99007-22-1-2-2-1 ปลูกทดสอบผลผลิตในสถานี ระหว่างสถานีในนาราษฎร์ทดสอบความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูข้าว ก่อนจะได้รับการรับรองพันธุ์จากคณะกรรมการพิจารณาพันธุ์ “กรมการข้าว”
มีมติรับรองพันธุ์ชื่อ “ ข้าวกข43 ” เพื่อแนะนำให้เกษตรกรปลูกเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2552 ที่ลักษณะสำคัญประจำสายพันธุ์ คือ เป็นข้าวเจ้าไม่ไวต่อช่วงแสง สูงประมาณ 103 เซนติเมตร อายุเก็บเกี่ยว 95 วัน ทรงกอตั้ง ต้นค่อนข้างแข็ง ใบสีเขียวจาง ใบธงเอนปานกลาง เมล็ดข้าวเปลือกสีฟาง ข้าวกล้องสีขาว รูปร่างเรียว เมล็ดข้าวเปลือก ยาว x กว้าง x หนา = 10.9 x 2.6 x 2.1 มิลลิเมตร เมล็ดข้าวกล้อง ยาว x กว้าง x หนา = 7.5 x 2.1 x 1.8 มิลลิเมตร ปริมาณอมิโลสต่ำ (18.82%)
คุณภาพของเมล็ดทางการหุงต้มรับประทาน ข้าวสุก นุ่ม เหนียว มีกลิ่นหอมอ่อน ระยะพักตัวของเมล็ดพันธุ์ประมาณ 5 สัปดาห์ ให้ผลผลิตประมาณ 561 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อปลูกโดยวิธีหว่านน้ำตม คุณภาพของเมล็ดทางการหุงต้มรับประทานดี ข้าวสุกนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อน ค่อนข้างต้านทานต่อโรคไหม้ และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
แต่มีข้อควรระวัง คือ เนื่องจากเป็นข้าวอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ไม่ควรปลูกร่วมกับข้าวที่มีอายุต่างกันมาก อาจจะเสียหายจากการทำลายของนกและหนูได้ ข้าวพันธุ์นี้มีลำต้นเล็ก การใส่ปุ๋ยอัตราสูงอาจทำให้ข้าวล้มได้ และข้าวพันธุ์นี้อ่อนแอต่อโรคไหม้ที่พิษณุโลก พื้นที่แนะนำ คือ พื้นที่นาชลประทาน พื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน และเกษตรกรมีช่วงเวลาในการทำนาน้อยกว่าพื้นที่ปลูกข้าวอื่นๆ หรือพื้นที่ที่มีปัญหาข้าววัชพืชระบาด
![7.การจำหน่ายข้าว-กข43-ข้าวน้ำตาลต่ำ-เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2018/11/7.การจำหน่ายข้าว-กข43-ข้าวน้ำตาลต่ำ-เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค.jpg)
ประโยชน์ของ ข้าวกข43
จากการศึกษาวิจัยของกองวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าวร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ศึกษาและใช้ประโยชน์จากพันธุ์ข้าวในเชิงสุขภาพ โดยคัดเลือกพันธุ์ข้าวที่ปลูกในประเทศไทยมากกว่า 100 พันธุ์ พบว่า ข้าวเจ้าพันธุ์ กข43 ให้ปริมาณน้ำตาลกลูโคสต่ำกว่าข้าวอมิโลสต่ำชนิดอื่นๆ
ซึ่งสอดคล้องกับการวิเคราะห์ในมนุษย์จากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า ข้าวกข43 มีค่าดัชนีน้ำตาลในข้าวขาวน้อยกว่าข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และมีค่าใกล้เคียงกับข้าวพันธุ์หอมกระดังงา ซึ่งเป็นข้าวอมิโลสสูง และร่วนแข็ง ดังนั้น ข้าวเจ้าพันธุ์ กข43 จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคอื่นๆ ที่ต้องการควบคุมปริมาณน้ำตาลในอาหาร ข้าวเหนียว นุ่ม กลิ่นหอม ทานอร่อย
นอกจากนี้ “สมาคมชาวนาข้าวไทย” ยังได้ร่วมกับภาครัฐและเอกชนส่งเสริมชาวนาแปลงใหญ่และชาวนาทั่วไปหันมาปลูก “ข้าวเจ้าพันธุ์กข43” ให้เป็นข้าวปลอดภัย หลังจากนั้นสมาคมฯ จะรับซื้อผลผลิตคืนจากชาวนาในราคา 10,000 บาท/ตัน ในความชื้นที่ 15% ก่อนจะนำผลผลิตเข้าสู่โรงสีที่ได้มาตรฐาน ก่
อนจะมีการคัดคุณภาพข้าวให้เป็น “ข้าวปลอดภัย” เพื่อการบริโภคภายในประเทศ รวมไปถึงการผลิต “ข้าวเกรดพรีเมียม” เพื่อการส่งออก ซึ่งสอดคล้องกับภาครัฐที่ต้องการลดต้นทุนเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพข้าวไทย เพิ่มมูลค่า อย่างครบวงจร
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สมาคมชาวนาข้าวไทย
15/3 ม.1 ต.คลองขวาง อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี 11150โทร.061-940-0819