ปัจจุบันนี้การผลิตมะม่วงส่งออกยังตลาดต่างประเทศยังน้อยอยู่ ขึ้นอยู่กับปัญหาต่างๆ มากมาย และเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของแต่ละประเทศที่รับซื้อผลผลิต ทำให้เกษตรกรผู้หนึ่งที่พยายามจะทำมะม่วงส่งออกให้ได้ จนกระทั่งตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเขาประสบความสำเร็จในการ ปลูกมะม่วงก่อนฤดู อย่างจริงจัง
สภาพพื้นที่ ปลูกมะม่วงก่อนฤดู
คุณมานพ แก้ววงษ์นุกูล ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 56 หมู่ 3 ต.สาวชะโงก อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา โทรศัพท์ 038-521-273, 038-521-307, 08-1664-7724 บอกว่า ทำสวนมะม่วงมานานแล้ว ในอดีตที่เริ่มปลูกใหม่ๆ ปลูกไม่ถึง 100 ไร่ แต่เมื่อก่อนส่วนใหญ่แล้วเกษตรกรที่ทำปลูกมะม่วงอย่างจริงจังมีไม่กี่ราย จึงทำให้คุณมานพคิดว่าตลาดมะม่วงยังดีอยู่ จนได้ขยายปลูกมะม่วงเพิ่มขึ้น จนถึงปัจจุบันนี้มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,200 ไร่ เป็นพื้นที่ปลูกของตนเอง และบางพื้นที่เป็นพื้นที่เช่า
ส่วนใหญ่ที่ปลูกจะเป็นกิ่งทาบทั้งหมด โดยต้นตอจะเป็นมะม่วงแก้ว โดยนำเมล็ดไปเพาะใช้ในแปลง เมื่อต้นตออายุได้ 3-4 เดือน ก็นำไปทาบกับกิ่งพันธุ์ดีของต้นมะม่วงที่เราต้องการขาย หลังจากทาบเสร็จทิ้งไว้ประมาณ 2 เดือน ต้นตอของกิ่งพันธุ์ดีก็จะติดเป็นกิ่งเดียวกัน
จากนั้นก็ตัดลงมาชำในถุงขนาดใหญ่กว่าเดิม แล้วนำไปตั้งไว้ในที่ร่มรำไรประมาณ 1-2 อาทิตย์ ก็นำต้นมะม่วงที่เราต้องการไปปลูกในแปลงได้เลย หากว่ากิ่งมะม่วงพันธุ์ดีเราต้องชำมาปลูกในที่ร่มรำไรนานเกินไปก็จะทำให้ระบบรากในถุงขดอยู่ เวลานำไปปลูกรากจะหาอาหารได้เก่ง สิ่งที่ตามมา คือ การเจริญเติบโตก็ช้าตามลงไปด้วย
หลักในการปฏิบัติดูแลรักษามะม่วงในช่วงปีที่ 1-2 นั้น คุณมานพเล่าว่าก่อนอื่นก็ต้องมาดูเรื่องการเตรียมดิน ครั้งแรกไถดินด้วยผาน 3 ประมาณ 1 ครั้ง จากนั้นตากดินไว้ประมาณ 2 อาทิตย์ ก็ไถด้วยผาน 7 ประมาณ 2 ครั้ง จากนั้นก็มาปลูก
ระยะปลูกส่วนใหญ่ที่ปลูกจะเป็นพื้นที่ราบ ระยะปลูกที่ใช้กว้างxยาว 6×6 เมตร ในการเตรียมหลุมปลูกนั้นถ้าต้องการให้ระบบรากของมะม่วงได้กินอาหารเร็วขึ้น หลุมปลูกอาจจะรองด้วยหินฟอสเฟตบ้าง หรือปุ๋ยคอกบ้างก็ได้ แต่ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนประมาณต้นเดือนมิถุนายน
การป้องกันและกำจัดโรค-แมลง
หลังจากที่เราปลูกได้แล้ว สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็คือ โรค-แมลง สำหรับในช่วงที่มะม่วงยังไม่ให้ผลผลิตสิ่งที่พบเป็นประจำในช่วงหน้าฝน ก็คือ แมลง ซึ่งจะพบมากในขณะที่มะม่วงแตกใบอ่อนออก ส่วนใหญ่จะเจอพวกหนอนเจาะยอด ฉะนั้นเราควรจะหาทางป้องกันไว้ล่วงหน้าทุกครั้ง
เนื่องจากว่าภายใน 1 ปี มะม่วงจะแตกยอดอ่อนประมาณ 4-6 ครั้ง หากเราต้องการให้ต้นมะม่วงมีการเจริญเติบโตสมบูรณ์ก็ควรดูแลรักษาต้นมะม่วงในขณะที่ยังไม่ให้ผลผลิตดีหน่อย เมื่อมะม่วงเริ่มไว้ผลก็ไม่ต้องดูแลเรื่องการให้ปลูกมากจนเกินไป เพราะว่าเราดูแลเรื่องต้นมะม่วงมาดีตลอด
การบำรุงดูแลรักษาต้นมะม่วง
แต่การดูแลบางอย่างในช่วงมะม่วงยังไม่ให้ผลผลิตก็ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ก็คือ ปุ๋ย อาจจะให้ปีละ 2 ครั้ง ก็พอ คือ สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ใส่ในช่วงต้นฤดูฝน จนกระทั่งต้นมะม่วงเข้าสู่ปีที่ 5 เริ่มให้ผลได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม ก็ใส่ปุ๋ยสูตร 15-0-0 เพื่อให้ต้นมะม่วงแตกใบอ่อนประมาณ 2 อาทิตย์
จากนั้นก็ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 พร้อมกับราดสารแพคโคบิวทราโซลไปประมาณ 1-2 เดือน ก็ควรเริ่มบังคับให้ต้นมะม่วงพร้อมแตกตาดอก โดยฉีดโปแตสเซียมไนเตรทในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม และสามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณปลายเดือนตุลาคม ซึ่งถือว่าเป็นมะม่วงก่อนฤดู ซึ่งในฤดูจะออกสู่ตลาดประมาณเดือนมีนาคม
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่มะม่วงกำลังแตกตุ่มดอก คุณมานพบอกว่าปัญหาในช่วงนี้จะเจอแมลงจะกัดกินตุ่มดอก ต้องใช้ยาป้องกันอย่างดีหน่อย หากเลยจากแตกตุ่มดอกเข้าดอกบานไม่แนะนำให้ฉีดยากำจัดพวกโรค-แมลง เนื่องจากว่าจะมีแมลงที่เป็นประโยชน์มากินน้ำหวาน พร้อมกับช่วยผสมเกสรในช่วงดอกบาน ทำให้เปอร์เซ็นต์ในการติดผลเพิ่มขึ้น เมื่อผลติดแล้วอาจจะใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ช่วยบำรุงลูกให้ขยายผล
จนกระทั่งมะม่วงโตเท่าไข่ไก่ก็ใส่ปุ๋ยเร่งความหวานช่วย เช่น สูตร 14-14-21 ครั้งเดียว จนกระทั่งเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม และเก็บหมดประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน ก็จะฉีดสารโปแตสเซียมไนเตรทเพื่อทำมะม่วงทะวายรุ่นที่ 2
ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนเมื่อฉีดสารลงไป % การแตกดอกและติดผลก็จะมีมาก เนื่องจากว่าเข้าสู่ฤดูหนาว ทำให้ % การติดดอกและติดผลดีที่สุด ในรุ่นที่ 2 นี้สามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนมีนาคม ขึ้นอยู่กับมะม่วงที่เราปลูกนั้นเป็นสายพันธุ์หนักหรือสายพันธุ์เบา หากเป็นสายพันธุ์เบาตั้งแต่ออกดอก เก็บเกี่ยวประมาณ 90 วัน หากเป็นพันธุ์หนักตั้งแต่ออกดอก เก็บเกี่ยวอยู่ที่ 120 วัน
ด้านตลาดและช่องทางจำหน่ายผลผลิตมะม่วง
สำหรับด้านการตลาดนั้น คุณมานพบอกว่าจะส่งทางประเทศมาเลเซีย, จีน, ญี่ปุ่น เป็นส่วนใหญ่ โดยขายให้กับบริษัท แลนดี้ เพื่อส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยขายได้กิโลกรัมละ 40 บาท เมื่อมามองต้นทุนอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 70 บาท เป็นจุดที่คุ้มทุนอย่างมาก
หากเกษตรกรท่านใดสนใจจะปลูกมะม่วงอย่างจริงจังเพื่อป้อนตลาดภายในประเทศ และต่างประเทศ หรือเพื่อต้องการเพิ่มเติมในเรื่องของการจัดการสวนที่ดี เพื่อผลผลิตที่ดี ราคาสูง คุณมานพบอกว่าสามารถให้คำแนะนำได้ตลอดเวลา