เกษตรอินทรีย์ และ การทำนา ข้าวอินทรีย์ 1 ไร่ 1 แสน
จากแนวโน้มการเติบโตของตลาดสินค้า เกษตรอินทรีย์ มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คำว่า อินทรีย์ หรือ ออร์แกนิค (Organic) เกษตรอินทรีย์ ถูกนำมาใช้ในตลาดอย่างแพร่หลาย เมื่อประเทศมุ่งสู่วิถีการผลิตเพื่อความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิตให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติแบบ Permaculture การทำสวนแนวตั้ง หรือการปลูกผักไว้กินเองในสวนหลังบ้าน ระเบียง หรือพื้นที่ว่างต่างๆ ทำให้มนุษย์โหยหาความบริสุทธิ์จาก “ธรรมชาติ” มากขึ้น
สนใจและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม (หากบอกว่ามาจาก พลังเกษตร.com) ได้ที่ อาจารย์คนึง พรมรัตน์
โทร.081-844-2842
![1.นาข้าวอินทรีย์-เกษตรอินทรีย์](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2017/09/1.นาข้าวอินทรีย์-เกษตรอินทรีย์.jpg)
การทำนา ข้าวแบบ เกษตรอินทรีย์
อาจารย์คนึง พรมรัตน์ เดิมเป็นข้าราชการอีกท่าน ที่หลังจากเกษียณราชการครูจากโรงเรียนวัดห้วยเปี่ยม ต.ป่าตาล อ.เมือง จ.ลพบุรี แล้วก็มารับใช้ชุมชนในระหว่างที่ยังรับราชการอยู่ ตอนเข้าไปเป็นครูปีแรก ก็ได้ชวนชาวบ้านทำนาเพื่อหาเงินสร้างโรงเรียน เป็นพื้นที่ของวัดประมาณ 13 ไร่
ได้เริ่มปลูก ข้าวอินทรีย์ ครั้งแรกเมื่อปี 2549 มีพื้นที่ 2 ไร่ ซื้อเมื่อประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมา ราคาประมาณไร่ละ 2 แสนบาท และได้ทำเป็นแปลงสาธิตเพื่อให้กลุ่มได้ทำกิจกรรมร่วมกัน มีสมาชิกประมาณ 60 คน มีพื้นที่รวมในการเพาะปลูกประมาณ 300 ไร่ แต่ก็ไม่ใช่ เกษตรอินทรีย์ ทั้งหมด สมาชิกจะแบ่งพื้นที่ในการปลูกคนละนิด
จึงตัดสินใจทำนา เพราะฟังข่าวว่า “ประเทศไทยเราเสียดุลการค้าเรื่องสารเคมีประมาณหลายหมื่นล้านบาท สุขภาพของคนที่ใช้ก็มีเสียชีวิตจากการใช้เคมีด้วย” ก็เลยตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนขึ้น ภายใต้ชื่อ “โรงสีข้าวชุมชนโคกลำพาน” ที่เป็นโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ปี 2559
สร้างโรงเรือนและลานตากข้าว ด้วยงบประมาณ 470,000 บาท อาจารย์คนึงอาศัยประสบการณ์จากการเป็นวิทยากรตามเวทีต่างๆ และจากการไปศึกษาดูงานกับทางคุณนิมิตร และอาจารย์เชาว์วัชใน การทำนา และปลูกผักอินทรีย์ เพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนากลุ่มให้เห็นคุณค่ามากขึ้น
![2.อาจารย์คนึง พรมรัตน์ เริ่มปลูกข้าวอินทรีย์บนพื้นที่ 2 ไร่](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2017/09/2.อาจารย์คนึง-พรมรัตน์-เริ่มปลูกข้าวอินทรีย์บนพื้นที่-2-ไร่-1.jpg)
คำนวณต้นทุน การทำนา อินทรีย์
เนื่องด้วยทางธนาคารหมู่บ้านจะซื้อรถดำ 1 คัน และรถไถ 2 คัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกร
- หลังจากที่ได้เมล็ดมาแล้วก็ไปจ้างเพาะกล้าที่บ้านหมี่ อ.ท่าวุ้ง ในราคาถาดละ 10 บาท ใช้เวลาในการเพาะประมาณ 18-20 วัน ส่วนดินในพื้นที่เป็นดินดำร่วนปนดินเหนียว การเตรียมดินนั้นจะตีป่นดินแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 1 อาทิตย์
- หลังจากนั้นก็เอารถมาย่ำให้เป็นเลน แล้วเอาไม้กระดานยาวๆ มากวาดให้เสมอกัน อัตราค่าใช้จ่ายในการเตรียมดินครั้งแรกตกไร่ละประมาณ 260 บาท และครั้งที่ 2 ไร่ละประมาณ 200 บาท
- หลังจากเตรียมดินเสร็จก็จะจ้างรถดำ ค่าจ้างทั่วไปประมาณ 1,400 บาทต่อไร่ ถ้าเป็นกลุ่มสมาชิกจะเสียแค่ 225 บาท เพราะค่าน้ำมันและค่าคนขับต้องจ่ายเอง ค่าจ้างคนขับ 320-500 บาท แต่ก่อนเคยจ้างแรงงานคนต่างอำเภอมาดำค่าใช้จ่ายไร่ละประมาณ 1,100-1,500 บาท การมีเครื่องจักรเข้ามาจึงช่วยให้ประหยัดเวลา และลดต้นทุนลงได้
- หลังจากดำไปแล้วประมาณ 4-5 วัน ก็หว่าน ปุ๋ยอินทรีย์ 1 ถุง 50 กิโลกรัม หว่าน 1 ไร่ต่อ 1 ถุง ค่าจ้างหว่านปุ๋ยประมาณ 60 บาทต่อไร่ “ตราเทพวานร”
- วิธีในการคุมหญ้าที่ดีที่สุด คือ “น้ำ” แต่พื้นนาของอาจารย์คะนึงระบบชลประทานน้ำมาไม่ทั่วถึง เพราะเป็นที่ดอน ทำให้หญ้าขึ้นในพื้นนาจนต้องจ้างคนถอนหญ้า 20 ไร่ หมดค่าจ้างไปประมาณ 30,000 บาท
- ฮอร์โมนในการบำรุงต้นข้าวจะหมักใช้เองจากหน่อกล้วย ผลผลิตที่ได้ประมาณ 30-40 ถังต่อไร่ ได้สูงสุดประมาณ 60 ถังต่อไร่ พอสีเป็นข้าวเปลือก 1 เกวียน ได้ประมาณ 650 ถ้าส่งไปสีที่ อ.เชาว์วัช จะได้ประมาณ 628 กิโล
- ค่าจ้างสีเกวียนละ 2,000 บาท จะได้ปลายข้าวป่น และรำข้าว กลับมาด้วย โดยทำข้อตกลงไว้ว่าต้องสีอย่างน้อย 2 เกวียน ข้อดี คือ ไม่ต้องจ้างเก็บกากข้าว ยิงสีให้พร้อม
ข้าวเปลือกที่ขาย อ.เชาว์วัช ให้ในราคาเกวียนละ 13,000 บาท ขายไป 6 ตันในจำนวนพื้นที่ 2 ไร่ บางส่วนก็เก็บไว้สีเอง ปีนี้ในพื้นที่ 11 ไร่ ได้ข้าวเปลือก 2 ตัน เก็บไว้ประมาณ 20 กว่าถัง และจ่ายค่าเช่าไป 16 ถัง
![3.สายพันธุ์ข้าว](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2017/09/3.สายพันธุ์ข้าว.jpg)
สายพันธุ์ข้าว
ข้าวหอมมะลิ 105 เป็นพันธุ์แรกที่อาจารย์คนึงปลูกด้วยนาดำน้ำตม ฤดูแรกก็ขาดทุน เพราะหญ้าแห้วหมูขึ้นเยอะ จึงทำให้ข้าวไม่ขึ้นได้ผลผลิตไม่ถึง 30 ถัง จึงทำให้กลุ่มสมาชิกจากเดิมที่มี 60 คน ตอนนี้เหลืออยู่ประมาณ 14 คน เพราะ การทำนา แบบ เกษตรอินทรีย์ ได้ผลผลิตน้อย ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และค่าเช่าพื้นที่ทำนาในแต่ละปี
ซึ่งราคาค่าเช่าตกปีละ 16 ถัง/ไร่ ชาวนาส่วนใหญ่ในพื้นที่จะปลูกข้าวอายุ 4 เดือน เช่น หอมปทุม ชัยนาท สุพรรณบุรี แต่ถ้าปีไหนที่น้ำน้อยก็จะปลูกข้าวอายุ 3 เดือน เช่น กข.61 เป็นต้น เมื่อประมาณปี 56-57 หลังจากที่ปลูกข้าวหอมมะลิก็เปลี่ยนมาปลูกข้าวไรซ์เบอรี่ และข้าวหอมมะลิธรรมศาสตร์
เมล็ดพันธุ์ข้าวได้มาจากท่านผู้ว่าที่ย้ายมาจาก จ.สิงห์บุรี ท่านได้นำพันธุ์ข้าวมาเผยแพร่ และจัดตั้งกลุ่มภายใต้ชื่อ “โครงการปลูกข้าวเพื่อสุขภาพ” มีสมาชิกเข้าร่วมทั้งจังหวัด 34 คน มีพื้นที่รวมกันทั้งจังหวัดประมาณ314 ไร่ ส่วนพื้นที่ของตัวเองได้เข้าร่วมโครงการประมาณ 10 ไร่ แต่ทำจริงๆ ประมาณ 20 ไร่
![4.การหว่านปุ๋ยอินทรีย์-ตราเทพวานร](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2017/09/4.การหว่านปุ๋ยอินทรีย์-ตราเทพวานร.jpg)
![5.โรงสีข้าวชุมชนโคกลำพาน](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2017/09/5.โรงสีข้าวชุมชนโคกลำพาน.jpg)
![เครื่องสีข้าวกล้อง](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2017/09/เครื่องสีข้าวกล้อง.jpg)
![เครื่องสีข้าวและเก็บแกลบ-ปลายข้าว](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2017/09/เครื่องสีข้าวและเก็บแกลบ-ปลายข้าว.jpg)
การสีข้าวที่โรงสีข้าวชุมชนบ้านโคกลำพาน
แต่วันนี้ศูนย์รวมของเกษตรกร คือ โรงสีข้าว “ชุมชนบ้านโคกลำพาน” ทุกคนสามารถนำข้าวมาสีได้ อัตราค่าใช้บริการในการสีข้าวกล้อง 10 กิโล ราคา 14 บาท ถ้าเป็นข้าวขาวจะไม่เสียค่าสี เพราะจะได้ในส่วนของแกลบ ขายถุงกระสอบปุ๋ยละ 5 บาท สามารถนำไปทำเป็นส่วนผสมของ “อุ”
ซึ่งเป็นสุราแช่ที่ขึ้นชื่อของโคกลำพาน มีรสชาติหวานคล้ายข้าวหมาก แต่กินแล้วเมา ส่วนรำจะขายกิโลกรัมละ 6 บาท ปลายข้าวขายกิโลกรัมละ 10 บาท เครื่องสีข้าวของทางกลุ่มจะมีเครื่องสีข้าวขาว เป็นเครื่องมือสองที่ซื้อมาจากบ้านป่าหวายในราคาประมาณ 50,000 บาท และเครื่องสีข้าวกล้องที่ซื้อจากสุโขทัยในราคาประมาณ 40,000 บาท พื้นที่โรงสีมีประมาณ 1 ไร่ครึ่ง เป็นที่ของธนาคารหมู่บ้าน
หลังจากสีข้าวกล้องแล้วการยืดอายุของข้าวกล้องต้องแพ็คถุงสุญญากาศ ต้องเสียค่าแพ็คอีกกิโลประมาณ 10 บาท และจำหน่ายในราคาถุงละ 70 บาทต่อกิโลกรัม ปีนี้ราคาข้าวตกต่ำจะขายในราคา 50 บาทต่อกิโลกรัม ข้าวของอาจารย์คะนึงมีความพิเศษ คือ ความหอม ความนุ่ม เพราะปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี อย่างอาจารย์เชาว์วัชที่ทำการตลาดแบบทำเอง ขายเอง มีกลุ่มเกษตรกรทั้งจังหวัด 11 อำเภอ มีสมาชิก 262 คน นั้นดีอยู่แล้ว
![6.ข้าาไรซ์เบอรี่อินทรีย์ที่รอการสีเพื่อแปรรูป](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2017/09/6.ข้าาไรซ์เบอรี่อินทรีย์ที่รอการสีเพื่อแปรรูป.jpg)
![ผลผลิตจากข้าวไรซ์เบอรี่](https://www.palangkaset.com/wp-content/uploads/2017/09/ผลผลิตจากข้าวไรซ์เบอรี่.jpg)
ผลผลิตจากข้าวไรซ์เบอรี่
แต่ทุกขั้นตอนมีค่าใช้จ่ายต้นทุนในการทำข้าวไรซ์เบอรี่ต่อไร่ตกประมาณ 5,500 บาท แม้ การทำนา แบบ เกษตรอินทรีย์ จะขาดทุนมากกว่าคุ้มทุน จึงได้ศึกษาเพิ่มเติมจากตำรา “1 ไร่ 1 แสน” เพื่อนำมาปรับปรุงรูปแบบ การทำนา ควบคู่ไปกับการเลี้ยงปลา หลัง การทำนา ในช่วงหน้าแล้ง อ.คนึง และชาวนาคนอื่นๆ ยังได้ปลูกถั่วเขียวลดพื้นที่ การทำนา ตามนโยบายของรัฐบาล
ปลูกมาได้ประมาณ 5 ปี ขาดทุนทั้ง 5 ปี ในช่วง 4 ปีแรกไม่ได้เก็บเมล็ดถั่วได้เลย เพราะว่าฝนไม่ตก ถั่วตายหมด ในปีที่ผ่านมาปลูกประมาณ 20 ไร่ ได้ถั่วเขียวประมาณ 3 ไร่ จ้างแรงงานคนเก็บครึ่งวัน 150 บาท และปลูกฟักทองอินทรีย์ระบบปิด มีลูกค้ามาจองลูกฟักทองไว้อย่างมากมาย ผลิตป้อนแทบไม่ทัน จำหน่ายในราคาลูกละ 25 บาท
การทำ เกษตรอินทรีย์ นอกจากห่างไกลสารเคมีแล้ว ร่างกายยังปลอดภัยจากสารพิษอีกด้วย“ การทำนา แล้วส่งที่ดินเสีย ๆ น้ำเสีย ๆ ไปให้ลูกหลานมันเป็นบาป ที่ผมทำทุกวันนี้เป็นที่ดินเช่า ผมทำให้ดินที่ตายนั้นฟื้นคืนมาได้” อ.คนึง กล่าวทิ้งท้าย
สนใจและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อาจารย์คนึง พรมรัตน์
44/1 หมู่ที่ 3 ต.โคกลำพาน อ.เมือง จ.ลพบุรี 15000 โทร.081-844-2842